เก็บตก ประเด็นชั่วโมงสุดท้ายก่อนสอบ
คดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง นั้น หากคู่ความในคดีฟ้องขับไล่คือคดีระหว่างโจทก์จำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง คดีเกี่ยวกับการบังคับ "บริวารของจำเลย" ผู้ถูกฟ้องขับไล่จะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงด้วยหรือไม่
ฎีกาที่ 582/2551 คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ผู้เช่าและบริวารออกจากที่ดินพิพาทที่จำเลยเช่าจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาทกับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างพร้อมค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้อง เป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง คดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงด้วย
ฎีกาที่ 5506/2555 คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านวังยาง ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 2 พฤศจิกายน 2537) จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์ขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ขอให้สั่งจับกุมและกักขังผู้ร้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ร้องส่งศาลชั้นต้น ผู้ร้องแถลงว่าผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลย จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ราคา 120,000 บาท ได้ชำระราคาแก่โจทก์ก่อนโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว และจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ผู้ร้องปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทมา 3 ปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อสอบถาม
จำเลยและผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดี โดยอ้างเหตุทำนองเดียวกับที่ผู้ร้องแถลงต่อศาลดังกล่าว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนที่จำเลยและผู้ร้องฎีกาว่า การจ่ายเงินค่าที่ดินพิพาทไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง และจำเลยกับผู้ร้องมีพยานบุคคลจะนำสืบถึงการจ่ายเงินดังกล่าวนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์อันอาจให้ผู้อื่นเช่าได้ในขณะที่ยื่นคำฟ้องเพียงปีละ 10,000 บาท หรือไม่เกินเดือนละ 4,000 บาทจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงไม่มีการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ ฎีกาของจำเลยและผู้ร้องดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยและผู้ร้องอ้างเหตุนั้นมาตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นถึงพฤติการณ์แห่งคดีว่ามีเหตุให้งดการบังคับคดีไว้ได้หรือไม่เพียงใด อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยในคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยและผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิฎีกาด้วยเหตุผลดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยและผู้ร้องมานั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาที่ 10733/2557 และ 2044/2557 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน
เครดิต มิตรสหายออนไลน์
|